bg-head-3

บทความ

จีนศึกษา วันพุธที่ ๑๖ มิ.ย.๖๔ รายงานที่ว่า "กองเรือดำน้ำของจีนมีขนาดใหญ่มาก แต่กองทัพเรือสหรัฐฯ วางแผนที่จะจัดการกับเรือดำน้ำของจีนด้วยทุ่นระเบิด"

จีนศึกษา วันพุธที่ ๑๖ มิ.ย.๖๔ รายงานที่ว่า "กองเรือดำน้ำของจีนมีขนาดใหญ่มาก แต่กองทัพเรือสหรัฐฯ วางแผนที่จะจัดการกับเรือดำน้ำของจีนด้วยทุ่นระเบิด" (报道称,“中国的潜艇舰队规模庞大,但美国海军计划用水雷解决他们”。) ซึ่งมีประเด็นที่น่าสนใจดังนี้

 
๑. หลี่ เฉียง (李强) นักข่าว Global Times กล่าวถึงกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ที่พิจารณาว่า กองเรือดำน้ำ (潜艇部队) ของจีนเป็นประเด็นสำคัญสำหรับกองทัพเรือสหรัฐฯ โดยเว็บไซต์ข่าว "Forbes” ของสหรัฐฯ รายงานเมื่อวันที่ ๘ มิ.ย.๖๔ ว่ากองทัพสหรัฐฯ กำลังวางแผนที่จะใช้ทุ่นระเบิดอัจฉริยะที่ติดตั้งโดยเรือดำน้ำไร้คนขับ (无人潜艇) เพื่อใช้จัดการกับเรือดำน้ำของจีน ซึ่งสอดคล้องกับรายงานของผู้เชี่ยวชาญที่ชี้ว่า กองทัพสหรัฐฯ วางแผนที่จะใช้ทุ่นระเบิดอัจฉริยะเพื่อสกัดกั้นเรือดำน้ำของจีน ทั้งนี้ ในแง่แนวคิดใหม่ของอาวุธนั้น จีนและสหรัฐฯ อยู่ในจุดเริ่มต้นเดียวกัน ซึ่งทุ่นระเบิดอัจฉริยะดังกล่าวนี้โดยพื้นฐานแล้วคือ ตอร์ปิโด Mk54 ที่ติดตั้งโซนาร์และเครื่องรับวิทยุ หลังจากได้รับคำสั่งเปิดใช้งานจากระยะไกล จะสามารถฟังการเคลื่อนไหวของเรือดำน้ำข้าศึกอย่างเงียบ ๆ และปล่อยตอร์ปิโดสำหรับการโจมตีแบบไม่ทันตั้งตัวเมื่อคู่ต่อสู้เข้าสู่ระยะการโจมตี โดยสามารถระบุฝ่ายที่เป็นมิตรและศัตรูได้ รวมทั้งการจงใจให้เรือดำน้ำฝ่ายตรงข้ามตรวจจับได้ จากนั้นจะล่อให้หลงเข้าไปในเขตสังหาร
 
๒. ในรายงานระบุว่า "กองเรือดำน้ำของจีนมีขนาดใหญ่มาก แต่กองทัพเรือสหรัฐฯ วางแผนที่จะจัดการกับเรือดำน้ำของจีนด้วยทุ่นระเบิด" ซึ่งตามรายงาน เมื่อเกิดความขัดแย้งทางทะเลขนาดใหญ่ระหว่างจีนและสหรัฐฯ การป้องกันเรือดำน้ำขนาดใหญ่ของจีนไม่ให้บุกรุกเข้าไปในน่านน้ำอันกว้างใหญ่ของทะเลฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของสหรัฐฯ และพันธมิตร ด้วยเหตุผลนี้ สหรัฐฯ จึงได้ตั้งการปิดล้อมอย่างแน่นหนาตามแนวเกาะแรก (第一岛链 / First Island Chain) ทั้งนี้ ยุทธศาสตร์ในช่วงสงครามทั้งหมดของกองกำลังป้องกันตนเองทางทะเลของญี่ปุ่นจึงหมุนรอบปิดกั้นแนวเหนือ และกองทัพเรือสหรัฐฯ จะรับผิดชอบในการปิดกั้นแนวใต้
 
๓. ตามรายงานของหน่วยข่าวกรองกองทัพเรือสหรัฐฯ ระบุว่า กองทัพเรือจีนได้มีเรือดำน้ำธรรมดา ๕๗ ลำและเรือดำน้ำนิวเคลียร์โจมตี ๕ ลำในปี ๒๐๑๕ (พ.ศ.๒๕๕๘) และภายในปี ๒๐๓๐ (พ.ศ.๒๕๗๓) กองเรือดำน้ำของจีนจะขยายเป็น ๖๐ ลำและเป็นเรือดำน้ำนิวเคลียร์โจมตีอย่างน้อย ๑๖ ลำ ในทางตรงกันข้าม กองกำลังป้องกันตนเองทางทะเลของญี่ปุ่นมีเรือดำน้ำทั่วไปเพียง ๒๐ ลำเท่านั้น ปัจจุบัน กองทัพเรือสหรัฐฯ มีเรือดำน้ำนิวเคลียร์ ๕๖ ลำ ประเภท "ลอสแองเจลิส" ชั้น "Seawolf"และเรือดำน้ำนิวเคลียร์ประเภท "เวอร์จิเนีย" ชั้น "โอไฮโอ" ซึ่งในจำนวนนี้ยังคงลดลงและคาดว่าจะลดลงเหลือ ๕๒ ลำภายในปี ๒๐๒๖ (พ.ศ.๒๕๖๙) แต่ที่แย่ยิ่งกว่านั้น ตามแผนของสหรัฐฯ จะมีเพียงครึ่งเดียวเท่านั้นที่เป็นของกองเรือแปซิฟิก ทั้งนี้ เนื่องจากวิธีที่ดีที่สุดวิธีหนึ่งในการค้นหาและจมเรือดำน้ำของศัตรูคือการใช้เรือดำน้ำของตัวเอง ดังนั้น สหรัฐฯ จึงอยู่ในสภาวะ "ความเสียเปรียบเชิงปริมาณ" (“数量上的劣势” ) ในสงครามใต้น้ำ
 
บทสรุป

ในรายงานดังกล่าวระบุว่า วิธีแก้ปัญหาของกองทัพเรือสหรัฐฯ คือการชดเชยข้อเสียเปรียบใต้น้ำด้วยการซื้อเรือดำน้ำไร้คนขับจำนวนมาก ซึ่งเมื่อปี ๒๐๑๙ (พ.ศ.๒๕๖๒) กองทัพเรือสหรัฐฯ และ Boeing ได้ลงนามในสัญญามูลค่า ๒๗๕ ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อสั่งซื้อเรือดำน้ำไร้คนขับ "Echo Voyager“ จำนวน ๕ ลำ โดยกองทัพเรือสหรัฐฯ อธิบายว่าเป็น "ยานดำน้ำไร้คนขับขนาดใหญ่พิเศษ" (“超大型无人潜航器” / Extra Large Unmanned Undersea Vehicle : XLUUV) ซึ่ง XLUUV ชุดแรกสามารถใช้งานได้ภายในปี ๒๐๒๒ (พ.ศ.๒๕๖๕) และจะซื้ออย่างน้อย ๒๔ ลำ ในอนาคต โดยสามารถทำงานได้อย่างหลากหลาย แต่มุ่งเน้นในการวางทุ่นระเบิดเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
 
ประมวลโดย พลตรี ไชยสิทธิ์ ตันตยกุล  

http://www.workercn.cn/34066/202106/10/210610091009342.shtml